วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

การสวมใส่หน้ากาก

1. การสวมใส่หน้ากากอนามัยทั่วไป

กรณีที่มีการระบาดโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ก็มีทางเเพทย์ได้มาอธิบายคำถามที่หลายคนสงสัยกัน ว่าแท้ที่จริงแล้วเราควรใส่หน้ากากด้านไหน? ซึ่งการสวมใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ถูกต้อง หรือใส่แมสชนิดทั่วไป เพื่อป้องกันทั้งฝุ่น PM 2.5 และเชื้อไวรัสโคโรน่า มากระจายสู่ตัวเรา ต้องทำตามขั้นตอนดังนี้
  • เริ่มจากล้างมือให้สะอาดก่อน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกปนเปื้อนกับหน้ากาก หากมีเจลกำจัดเชื้อแบคทีเรียด้วยก็ยิ่งดี
  • ต่อมาให้สวมหน้ากากอนามัย โดยจับห่วงทั้ง 2 ข้าง หันด้านที่มีสีเข้มออกด้านนอก แล้วเอาสีขาวเข้าหาหน้าตัวเอง
  • จากนั้นนำสายมาคล้องหู และปรับให้พอดี แต่ไม่ควรให้หน้ากากหลวมเกินไป เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคเข้ามาได้
  • กดตรงส่วนของโลหะให้ชิดกับสันจมูก และพับจีบด้านนอกลง
  • ควรเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกๆ วัน รวมถึงหลีกเลี่ยงผู้ที่มีอาการไม่สบาย ไอ หรือจามด้วย 
** หากหน้ากากอนามัยขาด หรือชำรุดก็ควรเปลี่ยนใหม่ทันที อย่าฝืนใส่เด็ดขาด!

2. การสวมใส่หน้ากากอนามัย N95

เมื่อมีผู้คนล้มป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรน่า หลายคนก็เริ่มรู้จักป้องกันตัวเองมากขึ้น ด้วยการสวมใส่หน้ากาก n95 เพราะมันสามารถป้องกันฝุ่นละออง เชื้อไวรัส เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้เราก็ต้องศึกษาวิธีใส่หน้ากากที่ถูกต้องเช่นกัน
  • อันดับแรกจะต้องล้างมือให้สะอาดก่อน เพื่อกำจัดเชื้อโรค
  • ใส่หน้ากาก n95 ที่ได้รับมาตรฐาน และเหมาะสมกับใบหน้า มาครอบทั้งจมูกและปากให้มิดชิด
  • จับสายคล้องเส้นล่างรัดบริเวณใต้ใบหู และอีกหนึ่งเส้นด้านบนให้อยู่เหนือใบหู และกดส่วนที่เป็นโลหะให้กระชับเเน่นกับสันจมูก
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้ากากอนามัยแนบสนิทหรือไม่ ด้วยการเป่าลมก่อน หากหน้ากากพอดีเวลาหายใจเข้าหน้ากากจะยุบตัว ส่วนหายใจออกหน้ากากจะพองตัว
  • กรณีที่ใช้งานแล้วแต่ยังไม่ทิ้ง แนะนำให้ทำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ไว้ หรือเก็บไว้ในถุงผ้าอย่างปลอดภัย (แต่ถ้าใช้แล้วทิ้งควรใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น แล้วทิ้งลงในถังขยะติดเชื้อ)
  • อย่าลืมล้างมือทุกครั้งหลังใส่หน้ากาก n95 รวมถึงหลีกเลี่ยงผู้ป่วย ผู้ที่มีอาการไม่สบาย ไอ หรือจาม

ทั้งนี้การใส่หน้ากากจะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน แนะนำให้ตรวจสอบความมิดชิดของหน้ากากทุกครั้ง หากพบว่ามีสารคัดหลั่งจำพวกน้ำมูก น้ำลายเจือปน รวมถึงหน้ากากขาดชำรุด ก็ต้องรีบเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทันที
นอกจากนี้ถ้าสังเกตว่าเรามีอาการไอ และจามอยู่บ่อยๆ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบอาการเบื้องต้นก่อน แล้วที่สำคัญอย่าลืมเตรียมทำประกันสุขภาพไว้ เพื่อให้ช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลด้วย ทั้งค่ายา ค่าอาหาร ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ ค่าบริการรถพยาบาล หรือค่าห้องสำหรับผู้ป่วย ประกันสุขภาพจะช่วยคุ้มครองให้กับคุณทันที เจ็บป่วยแค่ไหนก็อุ่นใจมากขึ้น

10สถานที่เสี่ยง


10สถานที่เสี่ยงในการติดเชื้อ

1.สถานที่ราชการ และสถานที่ทำงาน ขอให้ทำความสะอาดบริเวณที่สัมผัสบ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น โต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ใช้ทำงาน ที่จับประตู และห้องสุขา
2.รถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร รถจักรยานยนต์รับจ้าง ขอให้ทำความสะอาดภายหลังมีการให้บริการ เน้นไปที่บริเวณพื้นผิวที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อยๆ เช่น ที่จับประตู เบาะที่นั่ง
3.เรือโดยสาร ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ วางไว้พื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องจำหน่ายตั๋ว และหมั่นทำความสะอาดราวจับ เก้าอี้นั่งในเรือ ที่เท้าแขน ราวบันได และท่าเทียบเรือ
 4.ระบบขนส่งมวลชนทางราง เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรียลลิงค์ และรถไฟ ให้ทำความสะอาดหลังการให้บริการ เน้นไปที่บริเวณที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อยๆ เช่น บริเวณที่นั่ง ที่จับ และบริเวณเหนือหัวผู้โดยสาร
5.ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ฟิตเนส ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้บริเวณประตูทางเข้าและทางออก บริเวณหน้าลิฟต์ รวมถึงทำความสะอาดที่จับประตู และห้องสุขา
6.ร้านอาหารขอให้หมั่นเช็ดทำความสะอาดที่บริเวณโต๊ะอาหารและเก้าอี้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
7.โรงพยาบาลให้น้ำแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้ในบริเวณที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก และให้ทำความสะอาดที่นั่ง ที่จับประตู ห้องสุขา
8.ห้องน้ำสาธารณะ ขอให้ทำความสะอาดที่จับสายฉีดชำระ พื้นห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือ และกลอนประตูหรือลูกบิด
9.ปั๊มน้ำมัน ให้ทำความสะอาดห้องสุขา ซึ่งมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก เน้นที่สายจับฉีดชำระ บริเวณพื้นที่ห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือ และกลอนประตูหรือลูกบิด และ
10.สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสนามบิน ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้ที่บริเวณประตูทางเข้าและทางออก รวมถึงทำความสะอาดที่จับประตูห้องสุขา

คนไทยควรระวังอย่างไร

 คนไทยควรระวังอย่างไร
“สิ่งที่เราควรจะทำในช่วงตรุษจีนคือการเตรียมความพร้อม ระมัดระวัง ช่วยกันสอดส่อง เพราะถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง จะเป็นการช่วยกันเฝ้าระวังโรค เนื่องจากตอนนี้เรามีการเฝ้าระวังที่สนามบินและโรงพยาบาล ถ้าหากเราพบเห็นผู้ที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่พยาบาลเพื่อพาตัวไปรักษาและตรวจสอบว่าผู้ป่วยรายนั้นป่วยด้วยโรคอะไร

“ส่วนมุมของประชาชนคนไทย ไม่ใช่เพียงแค่โรคเชื้อไวรัสโคโรนาเพียงอย่างเดียวที่ต้องเฝ้าระวัง โรคอื่นๆ อย่างไข้หวัดก็เป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้ตัวเองป่วยเช่นเดียวกัน 

“ดังนั้นสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้คือการหลีกเลี่ยงในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน หรือถ้าหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือก่อนทานอาหารทุกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้เป็นการป้องกันในเบื้องต้น และสำคัญที่สุดคือถ้าหากป่วยต้องรีบพบแพทย์ทันที”

มุมมองแพทย์

ในมุมการแพทย์ ‘เชื้อไวรัสโคโรนา’ น่ากลัวขนาดไหน
ดร.นพ.โสภณ ตอบว่า “ถ้าดูข้อมูลจากระบาดวิทยา จะเห็นได้ว่าเชื้อไวรัสโคโรนามีอยู่ 6 สายพันธุ์ดั้งเดิม โดยมี 2 ตัวที่รุนแรงคือซาร์สและเมอร์ส อีก 4 ตัวจะมีอาการไม่รุนแรงมาก เต็มที่จะเป็นเพียงไข้หวัด ขณะที่สายพันธุ์ใหม่จะอยู่ในระหว่างตรงกลาง ถ้าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่อยู่ในมือครบถ้วน จึงจะสามารถประเมินได้ว่าจะรุนแรงระดับใด”

เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘ซาร์ส’ จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการป่วยและเสียชีวิตคิดเป็น 10% หรือ 1 ใน 10 ของผู้ป่วย ส่วน ‘เมอร์ส’ ผู้ป่วยมีอาการป่วยและเสียชีวิตคิดเป็น 30% หรือ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย

“เมื่อเทียบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีนที่มีผู้ป่วย 400 กว่าคน จะพบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 9 รายต่างมีโรคประจำตัวทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อดูแบบคร่าวๆ แล้ว เปอร์เซ็นต์การป่วยและเสียชีวิตน่าจะไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ทั้งนี้โรคที่เกิดขึ้นใหม่ๆ บนโลกใบนี้ยังไม่สามารถสรุปในทันที เพราะต้องรอข้อมูลประกอบที่ถูกต้องและครบถ้วน เพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคอีกครั้ง

“ดังนั้นถ้าสรุปจากข้อมูลที่มีขณะนี้ โรคจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ดูแล้วน่าจะรุนแรงน้อยกว่าโรคซาร์สและเมอร์ส”

ความรุนแรงของเชื้อ

โอกาสที่เชื้อไวรัสนี้จะพัฒนาและทวีความรุนแรงขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน
ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ระบุว่า “เป็นไปได้ เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายคนก็จะมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เชื้อมันอยู่ได้ดีขึ้น โดยการปรับตัวของเชื้อจะขึ้นอยู่กับว่ามันจะเข้ากับเซลล์ของคนได้ดีแค่ไหน ซึ่งจะก่อให้เกิดการเพิ่มจำนวนและอันตรายที่ตามมา ซึ่งอันนี้คือมุมที่รุนแรงและก่อให้เกิดการเสียชีวิตได้

“แต่อีกมุมหนึ่ง ถ้าเชื้อต้องการอยู่รอด มันก็จะปรับตัวให้อยู่ร่วมกับคนได้โดยไม่ทำร้ายให้คนเสียชีวิต เพราะถ้าคนเกิดตายขึ้นมา เชื้อก็จะตายไปด้วย ดังนั้นมันมีโอกาสทั้งสองทาง ก็คือมีทั้งโอกาสที่จะพัฒนาและไม่พัฒนาต่อ”

ระยะเวลาในการฟักตัว

เชื้อไวรัสโคโรนามีระยะฟักตัวกี่วัน


จากข้อมูลที่กรมควบคุมโรคเทียบเคียงกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ดั้งเดิม เบื้องต้นประเมินว่าเชื้อสายพันธุ์ใหม่มีระยะฟักตัวระยะสั้น คือตั้งแต่ 2-14 วัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มีการประกาศเตือนให้ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงอย่างเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ให้สังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 14 วันเพื่อเช็ก
ร่างกายว่าป่วยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไปน่าจะแสดงอาการภายใน 1 สัปดาห์ แต่จะมีบางกรณีที่แสดงอาการเร็วกว่าหรือช้ากว่านั้น จึงตั้งกรอบเวลา 14 วัน เพื่อให้สังเกตอาการ แต่ถ้าตรวจสอบแล้วมีอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมกับให้รายละเอียดประวัติการเดินทาง ซึ่งจะทำให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมในเวลาอันรวดเร็ว


แนวทางป้องกัน

โคโรน่าไวรัส ป้องกันอย่างไร


แน่นอนว่าไวรัสโคโรน่านั้นอันตรายเป็นอย่างมากเลยครับ ดังนั้น เราควรที่จะป้องกันและดูแลสุขภาพให้ดี โดยวิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า สามารถทำได้ดังนี้ครับ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีคนพลุกพล่าน
  • สวมหน้ากากอนามัยเสมอเมื่อต้องออกไปยังที่สาธารณะ หรือต้องติดต่อกับผู้ที่มีอาการป่วย
  • ไม่ทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ปรุงสุก
  • ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • หมั่นล้างมือให้สะอาด และไม่นำมือมาสัมผัสที่ตา จมูก และปากหากไม่จำเป็น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หากมีอาการไข้ ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
นอกจาก7 ข้อควรทำเพื่อป้องกันโคโรน่าไวรัสนี้แล้ว แฟรงค์ก็ขอแนะนำว่าใครที่มีแพลนจะเดินทางไปยังประเทศจีนในช่วงนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลื่อนวันเดินทางออกไปก่อนนะครับ รอให้สามารถควบคุมโรคได้ก่อนค่อยเดินทางไปจะเป็นการปลอดภัยที่สุด และที่สำคัญ ควรทำประกันสุขภาพไว้เพื่อดูแลค่ารักษาด้วยนะครับ จะได้อุ่นใจ แม้ป่วยก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด เบี้ยสบายกระเป๋าอีกต่างหาก

อาการเป็นอย่างไร

โคโรน่าไวรัส อาการเป็นอย่างไร


ต้องบอกว่า เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว แม้จะเป็นเชื้อตัวเดียวกัน แต่ความรุนแรงในการก่อโรคของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งด้านพันธุกรรม ภูมิต้านทาน สุขภาพ อายุ และประวัติการฉีดวัคซีนของแต่ละคน โดยผู้ป่วยจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้ จะมีอาการทางเดินหายใจ มีน้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ไปจนถึงมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว

ติดต่อทางไหน

โคโรน่าไวรัส ติดต่อทางไหน 

เชื้อไวรัสอู่ฮั่น

ไวรัสโคโรน่า สามารถติดต่อได้ผ่าน “คนสู่คน” โดยสามาถติดต่อได้หลายทาง เช่น 
  • การสัมผัสน้ำมูก 
  • น้ำลาย 
  • เสมหะของผู้ป่วย 
นอกจากนั้นเชื้อไวรัสโคโรน่า ยังสามารถเข้าสู่รายการได้หลายช่องทาง เช่น เยื่อบุทางเดินหายใจ ตา จมูก ปาก อธิบายให้ชัดเจนก็คือ ถ้าอากาศโดยรอบมีเชื้อไวรัสโคโรน่าลอยอยู่ อาจเกิดจากการที่ผู้ป่วยจามหรือไอออกมา เราสามารถติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ผ่านทางการหายใจได้เช่นกัน แต่โอกาสจะน้อยกว่าการสัมผัสสารคัดหลั่ง (น้ำมูก น้ำลาย) โดยตรง

Covid-19คืออะไร

Covid-19คืออะไร

    Covid-19 หรือชื่อเดิมคือ เชื้อไวรัสโคโรน่า
เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบติดเชื้อ รวมไปทั้งโรคปอดอักเสบรุนแรง พบได้ทั้งในสัตว์และในคน โดยโคโรน่าไวรัสมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ที่เคยระบาดรุนแรงก็ได้แก่ ไวรัสซาร์ส (SARS-CoV) ที่เคยระบาดไปทั่วโลกในปี 2002 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกกว่า 600 คน และไวรัสเมอร์ส (MERS-CoV) ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเกือบ 900 คนในปี 2012 ซึ่ง โคโรน่าไวรัส ที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงนี้ เป็นสายพันธุ์ใหม่ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งคาดกันว่าแม้จะมีความรุนแรงไม่เท่าสายพันธุ์ก่อนๆ แต่ก็มีสิทธิที่เชื้อไวรัสจะพัฒนาตัวเองจนมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดังนั้นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 
โดยโคโรน่าไวรัสที่กำลังระบาดอยู่นี้ คาดกันว่าน่าจะมีศูนย์กลางการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งตอนนี้มีก็เริ่มระบาดไปยังเมืองต่างๆ